อบจ.ปราจีนบุรี เข้าร่วมการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 4 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี เข้าร่วมประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ภายใต้กรอบแนวคิด “ท้องถิ่นไทย รวมไทย สร้างชาติ” โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการมอบนโยบาย ร่วมกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกแห่ง เข้าร่วมการประชุม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะได้ขับเคลื่อนภารกิจตามอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้เศรษฐกิจฐานรากเกิดความเข้มแข็งโดยทั่วกัน ซึ่งองค์กรปกครองท้องถิ่นถือเป็นกลไกลภาคส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน และการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้บูรณาการร่วมกันอย่างแข็งขัน ทำให้ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงอาสาสมัครต่าง ๆ ทำให้เกิดการสกัดกั้นการแพร่ระบาด สร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน
.
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงแนวคิด “ท้องถิ่นไทยรวมไทยสร้างชาติ” พร้อมหยิบยกกระแสการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของโลก หรือ เมกะเทรนด์ (Mega Trend) ซึ่งมี 6 ประเด็น ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุ” อย่างสมบูรณ์ ประชากรวัยแรงงานลดลง จึงจำเป็นต้องมีการยกระดับศักยภาพแรงงาน เพิ่มผลิตภาพของแรงงานในทุกภาคส่วน ทั้งการเกษต อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและบริการ และผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต เช่น ทักษะด้านดิจิทัล ทักษะด้านการวิเคราะห์สถานการณ์และข้อมูลเพื่อให้ประเทศไทยมีกำลังแรงงานที่มีศักยภาพเพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทั้งต่อตนเอง สังคมและประเทศชาติ
2. การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพและสาธารณสุข จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ทั้งในด้านการป้องกันการแพร่ระบาด การดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการปรับวิธีคิดเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลง
3. การเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจ ต้องส่งเสริมการกระจายรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวสู่ชุมชน โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมคิด ร่วมทำ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ
4. การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างผลิกผัน (Disruption) เพื่อก้าวสู่โลกดิจิทัล การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการบริหารงาน ทั้งภาคราชการและเอกชน ต้องนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ส่งเสริมให้ประชาชนปรับตัวและก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทัน
5. การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ การสร้างแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ บนฐานองค์ความรู้และข้อมูลสำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการกำหนดแนวปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป โดยเฉพาะการขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่เกษตร เศรษฐกิจ BCG เป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาชีพและรายได้ให้กับประชาชน
6. การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ เน้นการแก้ไขปัญหารายได้ครัวเรือน รวมทั้งให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องของการบริการสาธารณะ โดยมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบูรณาการดำเนินการให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่รวมทั้งสามารถบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่า เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามยุทธศาสตร์ทั้ง 6 ด้าน มุ่งผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีส่วนร่วม และบูรณาการและเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในท้องถิ่น ในประเทศ ปรับวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้สามารถ “ล้มแล้วลุกเร็ว” ผ่านมิติการพัฒนา 3 ประการ ได้แก่ การพร้อมรับ การปรับตัว และการเปลี่ยนแปลงเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังย้ำในตอนท้ายว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศจะต้องผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน บูรณาการการดำเนินการร่วมกัน เพื่อรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในฐานะ “ทีมประเทศไทย” เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกด้าน และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ต่อไป
อนึ่ง กำหนดการช่วงบ่ายนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย และนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ร่วมชี้แจงการจัดทำงบประมาณของจังหวัดและองค์การบริหารส่วนจังหวัด แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย
(Cr. ภาพและข้อมูลบางส่วน จาก กองสารนิเทศ กระทรวงมหาดไทย )
องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี
ขอบคุณข้อมูลจาก https://prachinpao.go.th